“บ้านทรงไทย” เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นไทย เปรียบได้กับงานประติมากรรมชิ้นหนึ่งที่ซ่อนหลักการและเหตุผลอันแสดงให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา รวมถึงวิถีชีวิตของคนไทย
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 1
รัตนโกสินทร์ที่สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2325 รับสืบทอดวัฒนธรรมการสร้างเรือนมาจาก อาณาจักรศรีอยุธยาไม่ผิดเพี้ยน บ้านทรงไทยภาคกลางในยุคนั้น มักเป็นเรือน 3 ห้อง ยกใต้ถุนสูงพอเดินลอดได้ มีบันไดทอดลงสู่ท่าน้ำเพื่อสะดวกในการใช้น้ำทั้งดื่ม อาบและใช้สอยภายในบ้าน
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 3
มาถึงสมัยรัชกาลที่ 2 และ รัชกาลที่ 3 เรือนไทยก็ยังไม่ต่างจากสมัยรัชกาลที่ 1 เท่าไร ตัวอย่างแรกคือตำหนักแดง ของสมเด็จพระสุริเยนทรามาตย์ พระมเหสีในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 4
อิทธิพลตะวันตกในรัชกาลที่ 4 ส่งผลต่อที่อยู่อาศัยอย่างมาก บ้านทรงไทยแบบใหม่เปลี่ยนรูปจากเดิมไปเป็นแบบฝรั่ง เริ่มมีบ้านก่ออิฐถือปูนชั้นล่างแต่ชั้นบนเป็นไม้ มีระเบียงโปร่งรอบชั้นบนและหลังคาปั้นหยา
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 5
ใน
รัชกาลที่ 5 เรือนหลังคาปั้นหยาเริ่มมีกันหนาตาแทนบ้านทรงไทยโบราณ อย่างสมัยต้นรัตนโกสินทร์ บ้านไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ชั้นเดียวหรือสองชั้น นิยมสร้างประยุกต์แบบตะวันตกเข้ากับไทย คือสร้างด้วยไม้ ยกพื้นกันน้ำท่วมแต่ใต้ถุนเตี้ยกว่าบ้านไทยเดิม
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 6
รัชกาลที่ 6 เป็นยุคบ้านเมืองสงบราบรื่น เศรษฐกิจดี ชาวเมืองนิยมความประณีตงดงาม ประกวดประขันความหรูหราของเรือนแบบตะวันตก ได้รับอิทธิพลจากบ้านวิกตอเรียนของ
อังกฤษ โดยเฉพาะการตกแต่งด้วยลายฉลุที่เรียกว่าขนมปังขิง(gingerbread) และเล่นรูปทรงตัวห้องมุขหกหรือแปดเหลี่ยม
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 7
พอมาถึง
รัชกาลที่ 7 ที่เผชิญปัญหา
เศรษฐกิจตกต่ำและความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง บ้านทรงไทยเริ่มลดความหรูหราเป็นเรียบง่าย ตัดลายฉลุฟุ่มเฟือยออกไป หลังคานิยม
จั่วตัด
บ้านทรงไทยสมัย รัชกาลที่ 8
ใน
รัชกาลที่ 8 รูปทรงบ้านทรงไทยเก๋ไก๋ทันสมัยแบบตะวันตกสมัย
ศตวรรษที่ 20 เป็นบ้านสองชั้น แม้ว่าใช้ไม้ซึ่งเป็นวัสดุหาง่ายของไทย แต่หลังคาก็เล่นแบบซ้อนกันหลายชั้น มีหน้าต่างบานเกล็ดและกระจกสีเหนือหน้าต่างแบบฝรั่ง